หนุ่มส่งนมเปรี้ยวหวังดี ขี่รถส่องไฟตามหลังให้เพื่อนกลับที่ทำงาน ถึงจุดเปลี่ยวเพื่อนชักไม้ไผ่กระหน่ำตีสาหัส ผู้ก่อเหตุอ้างถูกลวงมาชิงทรัพย์
วันที่ 24 มิ.ย. 65 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไป บ้านของ นายนราวิชญ์ คำรังสี(บาส) อายุ 19 ปี บ้านเลขที่ 257 บ้านชัยเจริญ ม.13 ต.น้ำแวน อ.เชียงคำ จ.พะเยา พนักงานขายนมเปรี้ยวของบริษัทแห่งหนึ่งสาขาเชียงคำ ได้ร้องกับสื่อว่า ถูกเพื่อนร่วมงานทำร้ายโดยใช้ท่อนไม้ไผ่ทุบตีโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งตนเองก็ได้เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐานแล้วที่ สภ.เชียงคำ เมื่อวันที่ 21มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา แต่ ณ ปัจจุบัน เพื่อนร่วมงานคนดังกล่าวยังทำงานตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตนเองและครอบครัวรู้สึกระแวงกลัวจะไม่ปลอดภัยเกรงเพื่อนร่วมงานจะย้อนกลับมาทำร้ายอีกครั้ง
นายนราวิชญ์ เผยว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มิย.65 ช่วงเลิกงานตอนเย็นๆประมาณ 18.00 น. ขณะที่กำลังแวะซื้อของกินที่ร้านค้าภายในหมู่บ้านตน ได้พบกับนายธเนตร รินพรุ้ม(เนตร) อายุ 37 ปี เป็นคนพื้นที่ บ.ห้วยข้าวก่ำ อ.จุน ที่มาจอดแวะพักรถพ่วงขายนม ด้วยที่นายเนตรเป็นลูกทีมของตนและเพิ่งเข้ามาทำงานได้ประมาณ 1 เดือน โดยการทำงานตนนั้นก็ได้รับมอบหมายให้เป็นพี่เลี้ยงดูแลให้ความรู้กับนายเนตร จึงทักทายถามเรื่องการค้าขายเป็นอย่างไงบ้าง ขณะนั้นนายเนตรก็ได้ควักเงินออกมานับพร้อมบอกกับตนว่าวันนี้ขายได้ พันกว่าบาท จากนั้นก็ได้สั่งเบียร์มา 1 ขวดและชักชวนตนเองดื่มด้วย เพื่อไม่ให้เสียมารยาทจึงบอกว่าขอดื่มสั่งแก้วเป๊กเล็กๆ เพราะว่าตนเองมีโรคประจำตัวเป็นโรคลมชัก จึงดื่มเยอะไม่ได้ จนเวลาล่วงเลยไปถึง 21.00 น.ตนเองจึงชักชวนให้นายเนตรกลับไปที่ศูนย์ของบริษัทเพื่อเติมสินค้าเพื่อจำหน่ายต่อในวันพรุ่งนี้ แต่ตนเองสังเกตเห็นว่าขณะที่นายเนตรติดเครื่องรถมอเตอร์ไซค์พ่วงอยู่นั้น ไฟหน้าและไฟท้าย ไม่มีไฟส่องสว่างออกมาทั้งคู่ นายเนตรเองมีเพียงไฟฉายคาดหัวแบบส่องกบเท่านั้น ตนเองเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยจึงอาสาที่จะขับรถส่องไปตามหลังให้ ตนเองได้บอกให้นายเนตรใช้เส้นทางรอง บ้านชัยเจริญ-ผาลาด ซึ่งมีระยะทางใกล้กว่า มันอาจจะมืดแต่ก็เดินทางสะดวก เมื่อตกลงกันแล้วตนเองจึงขี่รถตามหลังนายเนตรไปแต่นายเนตรได้ขับขี่รถไวมากตนนั้นตามไม่ทันซึ่งนายเนตรก็ขี่ห่างไปเรื่อยๆไม่มีท่าทีที่จะหยุดหันมามองตน
ขณะเดียวกันยายของตนได้โทรศัพท์มาหาเพราะกลับบ้านผิดเวลายายอยู่บ้านเป็นห่วงมาก ตนจึงจอดรถคุยกับยาย ประกอบกับน้ำมันรถของตนเองใกล้จะหมดจึงได้วกรถเพื่อที่จะกลับบ้าน อีกทั้งตนคิดว่านายเนตรน่าจะรู้เส้นทางตามที่ตนบอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วและตัวนายเนตรก็เป็นผู้ใหญ่แล้วคงดูแลตนเองได้ ตนเองจึงวกรถกลับเพื่อที่จะเดินทางกลับบ้าน พอมาถึงบริเวณแถวหน้า โรงงานอบลำไย บ.ฮุ้ยซิง อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ตนเองสังเกตกระจกมองหลังเหมือนมีรถขับตามมาและได้เข้ามาจอดรถปาดหน้าตน เห็นว่าเป็นนายเนตรพร้อมท่อนไม้ไผ่ขนาดใหญ่ในมือตอนนั้นตนเองตกใจมาก แต่ตนก็ยังกลั้นใจถามว่า “กลับมาทำไมอีกมีอะไรหรือปล่าว” นายเนตรได้ตอบไปว่า “ไหนว่าจะไปส่งเขาแต่ทิ้งให้เขาไปคนเดียวเพราะอะไร” จากนั้นก็เริ่มกระหน่ำตี ตนเองได้แต่ใช้มือซ้ายยกปกป้องไว้ปากก็ตะโกนให้หยุดและเรียกให้คนแถวนั้นช่วย แต่นายเนตรก็ไม่ยอมหยุดอีกทั้งยังบังคับให้ตนก้มกราบเท้าอีก ตนเองก็จำยอมทำ ขณะที่กำลังจะก้มกราบอยู่ตนเองเห็นว่านายเนตรกำลังเงื้อมือที่ถือไม้ไผ่จะฝาดมาที่ศีรษะตนจึงเบี่ยงหลบไปทางขวาทำให้ไม้ที่ฝาดลงมาถูกหลังด้านซ้ายจนเป็นรอยช้ำและมือด้านขวาก็เป็นแผลจากเศษไม้ไผ่ที่แตกจากการทุบตีตนเอง จากนั้นก็มีชาวบ้านกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาตนเองจึงเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนนายเนตรนั้นได้สตาร์ทรถแล้วขี่หนีไป
ต่อมา ในเช้าของวันที่ 21 มิย.65 ตนเองเข้าไปที่โรงพยาบาลเชียงคำ เพื่อทำการรักษาอาการบาดเจ็บพร้อมตรวจร่างกาย ซึ่งแพทย์ได้ระบุว่าได้รับบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายร่างกาย พบแผลรช้ำบริเวณหลังด้านซ้ายและพบจุดกดเจ็บที่บริเวณต้นคอซ้าย บ่าซ้าย แขนซ้ายและมือซ้าย จากการเอ็กเรย์ไม่พบกระดูกหัก ได้รับรักษาโดยการใส่เฝือกที่ข้อมือซ้าย จากนั้นตนเองได้ไปร้องทุกข์แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานไว้ที่ สภ.เชียงคำ
ด้าน นายเนตร ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ติดต่อสอบถามสาเหตุที่เกิดขึ้น โดย นายเนตรได้ ชี้แจงว่า ในวันที่เกิดเหตุ(20 มิย.2565) ตนเองจะกลับเข้าศูนย์นมที่ตัวเมืองเชียงคำ โดยใช้ทางสายหลัก เพราะตนใช้เป็นประจำ แต่นายนราวิชญ์หรือบาส แนะให้ใช้ทางสายรอง ซึ่งตนเองบอกว่าไม่คุ้นทาง แต่นายบาส บอกว่า จะขี่รถตามหลังเพื่อไปส่ง แต่พอขับขี่ไปเรื่อยๆ นายบาสก็หายไป ประกอบกับมีกลุ่มเด็กแว้นซ์ขับขี่ตามล้อมหน้าล้อมหลัง วกไปวนมา ตนเองนั้นคิดว่าอาจถูกนายบาสหลอกมาเพื่อให้กลุ่มเพื่อนเด็กแวนซ์มาจี้-ปล้น อีกทั้งทางถนนสายรองเป็นที่มืดและเปลี่ยว ไม่ค่อยมีรถราสัญจร จึงตัดสินใจกลับรถออกมาทางเดิม ขณะนั้นได้เห็นนายบาสจอดรถคุยโทรศัพท์ ตนเองเองโมโหมากจึงคว้าไม้ไผ่ที่ติดรถเพื่อเป็นเครื่องป้องกันตัวเมื่อยามเกิดเหตุร้ายออกมา แล้วก็ถาม ว่า ทำไมไม่ไปส่งตน นายบาสนั้นทำท่าทางมีพิรุธ ตกใจ ตนเองจึงเชื่อแน่ว่าถูกนายบาสลวงมาจี้-ปล้นแน่ จึงกระหน่ำฝาดไม้ไผ่ที่ตนเองถือมาเพียง 2-3 ครั้งเท่านั้น และไม่ได้บังคับให้ก้มกราบเท้าตนเองแต่อย่างใด หลังจากนั้นมีชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาเพื่อมาห้ามตนเอง ตนเองจึงสงบสติอารมณ์ได้และได้ขี่รถออกมาจากที่เกิดเหตุเพื่อกลับบ้าน หลังจากนี้ ตนเองก็จะแจ้งความกลับ ว่านายบาสได้ล่อลวงตนเองมาเพื่อชิงทรัพย์ ต่อไป
ด้าน ร.ต.อ.อาคม แก้วหน่อ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เชียงคำ เจ้าของคดีได้รับทราบเรื่องแล้ว และจะเรียกตัวผู้ก่อเหตุเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาอีกครั้ง ส่วนเรื่อการที่ยังไม่ได้มีหมายจับนั้นเป็นเพราะไม่ได้เป็นเหตุซึ่งหน้าและบุคคลดังกล่าวไม่มีพฤติกรรมหลบหนี และก็ยังทำงานอยู่ที่บริษัทดังกล่าว สามารถเรียกตัวเข้ามาพบได้ตลอดเวลา หลังจากนี้จะได้ให้คู่กรณีทั้งสองเข้ามาพูดคุยไกล่เกลี่ยขอพิพาทดังกล่าวอีกครั้ง