กรณีพ่อร้อง “ปวีณา” ลูกชายม.1 ร่วมกับเพื่อนรวม 5 คน แอบขโมยน้ำชาเขียว-ขนม ร้านค้าในโรงเรียน เจอเรียกเงินคนละ 1 แสน แลกกับการไม่ดำเนินคดี ล่าสุด ทางโรงเรียนเผยสื่อสารผิดพลาด
เวลา 10.00 น. วันที่ 14 ธ.ค.65 นายดำ (นามสมมุติ) ผู้เป็นพ่อเดินทางมาร้องทุกข์มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แจ้งว่า ตนเองทำงานรับจ้างอยู่ที่จ.ชลบุรี ส่วนด.ช.เชน (นามสมมุติ) ลูกชายวัย 13 ปี อาศัยอยู่กับยาย และเป็นนักเรียนชั้นม.1 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจ.พะเยา ครูที่โรงเรียนโทรมาแจ้งพ่อเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่า ลูกชายได้ร่วมกับเพื่อนรวม 5 คน ไปขโมยน้ำชาเขียว 4 ขวด และขนม 1 ห่อ จากร้านค้าในโรงเรียน ครูได้บอกนักเรียนให้มาแจ้งผู้ปกครองไปพบครูในวันที่ 9 ธ.ค. แต่ลูกกลัวจึงไม่กล้ามาบอกผู้ปกครอง
ส่วนผู้ปกครองของเด็กอีก 4 คน ได้ไปพบครูตามนัด ทางโรงเรียนแจ้งว่าร้านค้าต้องการเรียกร้องค่าเสียหายคนละ 1 แสนบาท เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีกับเด็กๆ โดยทางโรงเรียนได้ช่วยเจรจาให้ชดใช้เหลือคนละ 5 หมื่นบาท และนัดให้ผู้ปกครองไปชำระเงินในวันพุธที่ 14 ธ.ค.65 ผู้ปกครองเด็ก 4 คน กลัวว่าลูกๆ จะถูกดำเนินคดีและมีประวัติเสียหายจึงจะยอมจ่ายเงินตามนัด ส่วนลูกของตนเพิ่งจะทำผิดเป็นครั้งแรก ตนไม่มีเงินที่จะไปชดใช้และเห็นว่าเรื่องดังกล่าวไปเป็นธรรม มีการเรียกเงินที่เกินกว่าเหตุ จึงได้ขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณาฯ
วันนี้เวลา 10.00 น. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้เชิญนายธีร์ ภวังคนันท์ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ กพฐ. โดยมอบหมายให้นายนิสิต เนินเพิ่มพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ความปลอดภัย สพฐ. เข้าร่วมประชุมแทน และผู้ปกครองเด็ก ที่มูลนิธิปวีณาฯ จ.ปทุมธานี เพื่อหามาตรการช่วยเหลือเด็กโดยด่วน
ล่าสุด วันนี้(14 ธันวาคม 2565 ) เวลา 13.30 น. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังโรงเรียนที่เกิดเหตุดังกล่าว ได้เข้าไป สัมภาษณ์เจ้าของร้านค้า น.ส.สเตฟานี่ เสี่ยวผิง เผยว่า เด็กกลุ่มดังกล่าว ได้เข้ามาขโมยของที่ร้านมาแล้วหลายครั้ง โดยทำกันเป็นขบวนการ มีคนดูต้นทาง บังกล้องวงจรปิด แอบยื่นของและซุกไว้ใต้เสื้อกันหนาว โดยเด็กเหฃล่านี้รู้มุมกล้องวงจรปิดว่ามุมไหนเป็นจุดอับเป็นอย่างดี ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 65 ที่ผ่านมาเด็กกลุ่มนี้ได้เข้ามากระทำการถึง 2 ครั้ง คือครั้งแรกช่วงเวลา ประมาณ 8 โมงเช้า และ ครั้งที่ 2 เวลา ประมาณ 9 โมงเช้า ซึ่งทางพนักงานทางร้านได้จับตาสังเกตพฤติกรรมของเด็กกลุ่มนี้มาโดยตลอด ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายน 65 ทางร้านก็เคยจับได้ว่าขโมยน้ำหวานและขนม จนต้องเรียกเก็บเงินเท่ากับสินค้าที่ขโมยไป พร้อมกับนำตัวเด็กๆไปส่งให้ทางฝ่ายกิจการ ห้องปกครองให้อบรมตักเตือนและหักคะแนนความประพฤติไปแล้ว แต่เด็กกลุ่มดังกล่าวยังกลับมากระทำผิดซ้ำอีก ซึ่งแต่ละครั้งจะขโมยของที่มีราคาแพงมาก ทำให้ร้านค้าต้องเสียหายหลายบาท ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวทางร้านรับไม่ได้ อีกอย่างจะได้เป็นการป้อมปรามไม่ให้เด็กมีพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อย ต่อไปในอนาคตเด็กๆอาจจะต้องคดีอาชญากรรมที่มีความผิดร้ายแรงถึงขั้นติดคุกติดตาราง เด็กที่กระทำผิดในวันนี้ ควรได้รับรู้ถึงผลที่จะตามมาว่าจะเกิดความเสียหายต่อตนเองและครอบครัวขนาดไหนในการที่ตนกระผิดในครั้งนี้ และจะได้ปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เป็นคนดีในอนาคต
ด้าน นายจตุภูมิ แจ่มหม้อ ผอ.โรงเรียนเชียงคำวิทยาคม และ นายเดชฤทธิ์ รัตนขอดสกุล รอง ผอ.โรงเรียนเชียงคำวิทยาคม เผยว่า เด็กกลุ่มนี้มีอยู่ด้วยกัน 5 คน ที่ทางร้านจับได้พร้อมหลักฐาน มี 3 คน และอีก 2 รายที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่นั้นอยู่ในกระบวนการสอบสวน แต่ก็ได้เรียกผู้ปกครองทั้งหมดเข้ามาไกล่เกลี่ย ในตอนเช้าวันนี้(14 ธ.ค.65) โดยเบื้องต้น ทางร้านเรียกค่าปรับรายละเงิน 1 แสน แต่เจรจาตกลงกันแล้วเหลือ 5 หมื่นบาท ซึ่งทางโรงเรียนและผู้ปกครองก็เจรจาต่อรองกันอีกครั้งจนเหลือ 25,000 บาท ซึ่งผู้ปกครองเด็กทั้ง 3 ราย ยินดีจ่ายให้โดยไม่ให้เป็นคดีความ ส่วนเด็กรายที่ 4-5 ที่ร่วมอยู่ในกลุ่ม ได้เข้ามาพูดคุยเจรจาเพียงคนเดียว ซึ่งหลังจากทางโรงเรียนและร้านค้าได้ พูดคุยสอบถามแล้วเด็กรายที่4 นี้ไม่มีความผิดหรือไม่มีส่วนร่วมจึงได้ให้เด็กกลับไปเรียนตามปกติ ส่วนผู้ปกครองเด็กรายที่ 5 ที่ไปร้องต่อมูลนิธิปวีณาฯ นั้นไม่ได้เข้ามาพูดคุยหรือทำความเข้าใจเป็นทางร้าน ซึ่งทั้งนี้ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวนเท่านั้น ยังไม่ได้มีการเรียกปรับเงินใดๆทั้งสิ้น ทางโรงเรียนได้พยายามติดต่อกับเด็กและผู้ปกครองให้เข้ามาพูดคุยกันแล้วแต่ผู้ปกครองของเด็กก็ไม่ขอเจรจาใดๆ จึงเป็นที่มาของเรื่องนี้
ทั้งนี้ทางโรงเรียนและทางร้านจะต้องปรับมาตรการดูแลทั้งกล้องวงจรปิดและพฤติกรรมของเด็กให้มากกว่านี้ ซึ่งถือว่าเคสนี้เป็นรายแรก เพื่อจะได้เป็นกรณีศึกษาแก้ไขปัญหาต่อไป